พรีวิว Abstracts Phahonyothin Park condominium แอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน พาร์ค คอนโดมิเนียม
Abstracts Phahonyothin Park คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์น 3 อาคาร สูง 34 ชั้น จำนวนรวม กว่า 3,000 ห้อง
ราคา 75,000 บาทต่อตร.ม. ขนาด 25.1-66 ตร.ม.
พื้นที่โครงการ 21ไร่
มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จในปี 2554
“คีรี กาญจนพาสน์” ประกาศความพร้อมขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มสูบ ประเดิมผุดคอนโดมิเนียม 2 ทำเล พหลโยธิน/สุขุมวิท กว่า 1 หมื่นล้าน แจ้งเกิดภายใต้แบรนด์ “แอ็บสแตร์กส์”พร้อมระบุเปิดโอกาสทั้งร่วมทุน จ้างพัฒนา ชูกลยุทธ์ตลาดเหนือรายอื่นแจกบัตรรถไฟฟ้าใช้ฟรี 10 ปี
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้าซื้อกิจการของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เสร็จสิ้นและเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้แบ่งโครงสร้างการดำเนินงานออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจดำเนินการระบบขนส่งมวลชน หรือ รถไฟฟ้าบีทีเอสในปัจจุบัน และส่วนต่อขยายในอนาคต กลุ่มธุรกิจให้เช่าพื้นที่โฆษณา (วีจีไอ) กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจให้บริการ อาทิ ธุรกิจบริหารโรงแรม รับเหมาก่อสร้าง และ e-money
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเน้นธุรกิจหลักเป็นระบบขนส่งมวลชนเพราะรายได้หลักของบริษัทคือการให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่จะพัฒนาอสังหาฯ ตามแนวสายทางรถไฟฟ้าด้วยเช่นกัน
“ในประเทศฮ่องกงโครงการที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าถือเป็นสินทรัพย์ที่ดี (Asset) สร้างรายได้ดีกว่าการเดินรถ สำหรับในประเทศไทยหากสามารถพัฒนาไปพร้อมกับแนวเส้นทางของรถไฟฟ้าได้จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ โดยขณะนี้บีทีเอสมีที่ดินมูลค่า 13,000 ล้านบาทแต่อีก 2 ปีรายได้ที่รีเทิรน์กลับมาบนที่ดินดังกล่าวจะมหาศาล” นายคีรีกล่าว
ดังนั้น บริษัทจึงรุกตลาดอสังหาฯ ควบคู่ไปด้วยเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของคนกรุงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ภายใต้แบรนด์ “แอ็บสแตร็กส์” พุ่งเป้าหมายไปที่ผู้บริโภคที่ต้องการพักอาศัยในแนวรถไฟฟ้า และกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจให้เช่า โดยจะเป็นการทั้งลงทุนเอง หรือร่วมทุนกับผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินในแนวรถไฟฟ้าก็ได้ หรือ ผู้ที่ต้องการให้แอ็บสแตร็กส์เข้ามาพัฒนาที่ดินให้ หรือแม้แต่ดีเวลล็อปเปอร์ที่เป็นเจ้าของโครงการอสังหาฯอยู่แล้วก็ตามก็สามารถเข้าร่วมลงทุนกับแอ็บสแตร็กส์ได้ด้วย
ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้นมีแผนที่จะเปิดตัว 2 โครงการแรก มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ แอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน พาร์ค ที่บริษัทได้ซื้อที่ดินขนาด 21 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่สร้างค้างไว้มาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ บสท. มูลหนี้ที่ซื้อมา 2,000 ล้านบาท จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์น 3 อาคาร สูง 34 ชั้น จำนวนรวม กว่า 3,000 ห้อง ราคา 75,000 บาทต่อตร.ม. ขนาด 25.1-66 ตร.ม. มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จในปี 2554
ส่วน แอ็บสแตร็กส์ สุขุมวิท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 66/1 ใกล้รถไฟฟ้าอุดมสุข เป็นคอนโดฯ สไตล์โมเดิร์น แบบโลว์-ไรซ์ สูง 5 ชั้น 4 อาคาร จำนวนรวม 112 ห้อง ราคาขายอยู่ที่ 75,000 ตร.ม.เช่นเดียวกัน มีขนาด 36.25-61.36 ตร.ม.มูลค่าโครงการ 380 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนมิ.ย.2554
ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์ตลาดอย่างที่ไม่มีใครเหมือนคือลูกค้าที่ซื้อโครงการแอ็บสแตร็กส์จะสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งบัตรนี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของโครงการแอ็บสแตร็กส์ สามารถขายต่อให้ใครก็ได้ หรือจะโอนสิทธิ์ให้กับผู้เช่าพักอาศัยในกรณีที่ซื้อปล่อยให้เช่า สามารถกำหนดระยะเวลาให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ได้ โดยบัตรมีมูลค่าราวๆ 2 แสนบาท (คิดจากมูลค่าการเดินทาง) นอกจากนั้นบัตรดังกล่าวยังจะใช้เป็นบัตรผ่านสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะพัฒนาขึ้นในอนาคตอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เนื่องจากโครงการแอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน โครงสร้างได้ถูกทิ้งร้างมาร่วม 10 ปี บริษัทจึงได้ร่วมกับบริษัทชั้นนำในเครือนิวเวิลด์ฮ่องกง คือ บริษัท ฮิบเฮง คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาและปรับปรุงรวมถึงก่อสร้างด้วย และบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทสปา เอ จำกัด ซึ่งได้รับรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลประเภทรีสอร์ท โรงแรม มาร่วมออกแบบในโครงการที่สุขุมวิท
“เราเชื่อมั่นว่าแบรนด์แอ็บสแตร็กส์ จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับแบรนด์ ยู โฮเทล ที่ปัจจุบันสามารถขยายเครือข่ายได้ถึง 40 แห่งทั่วภูมิภาค”
บีทีเอสกรุ๊ปชู ‘ซิตี้ โซลูชั่นส์’โมเดลหมื่นล.
ภายหลังจากที่นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อกิจการรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา นายคีรี พร้อมผู้บริหารก็ออกแถลงข่าวเพื่อฉายภาพของธุรกิจที่จะต้องนำพาต่อไปในอนาคต ซึ่งการกลับมารุกธุรกิจใหม่ของนายคีรี โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นสิ่งที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยธุรกิจนี้ถูกมอบหมายให้นายกวิน กาญจพาสน์ ลูกชายเป็นคนคุมกองทัพสำคัญ ที่มาพร้อมกับแบรนด์ใหม่ในธุรกิจอสังหาฯ “แอบสแตรกต์”
เปิดตัว4ธุรกิจหลัก
ภายหลังจากดำเนินการเปลี่ยนชื่อของบริษัทใหม่แล้ว ในส่วนของโครงสร้างธุรกิจก็มีการปรับใหม่ โดยมีการแยกกลุ่มธุรกิจภายใต้การบริหารของบีทีเอสกรุ๊ป ออกเป็น 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจดำเนินการระบบขนส่งมวลชน ประกอบด้วย รถไฟฟ้าบีทีเอสในปัจจุบัน และส่วนเชื่อมต่อขยายในอนาคต รวมถึง การได้รับสัมปทานในการบริหารจัดการและการเดินรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที 2. กลุ่มธุรกิจให้เช่าพื้นที่โฆษณา (วีจีไอ) ซึ่งอยู่ในพื้นที่บีทีเอส และบริเวณร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ทั่วไป อาทิ เทสโก้ โลตัส คาร์ฟูร์ บิ๊กซี และวัตสัน รวมถึง การโฆษณาภายในอาคารและสำนักงานต่างๆ 3. กลุ่มธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีทั้งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ทำเลทองอื่นๆ เช่น ธนาซิตี้ บางนา-ตราด กม.14 เขาใหญ่ และภูเก็ต และ 4. กลุ่มธุรกิจให้บริการ อาทิ ธุรกิจบริหารโรงแรม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจ อี-มันนี่ (e-money) ซึ่งเป็นบริการระบบการใช้จ่ายในระดับย่อยแบบ e-payment โดยได้พัฒนาระบบตั๋วร่วมระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที และรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที ซึ่งสามารถขยายไปสู่ระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ รวมถึง ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการ และการท่องเที่ยวได้ โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้กลางปี 2554
ชูแนวคิด “ซิตี้ โซลูชั่นส์”
การที่กลุ่มบีทีเอส มี 4 ธุรกิจหลัก นายคีรี ได้วางเป้าหมายที่จะนำธุรกิจทั้งหมดมาผสมผสานและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิด “ซิตี้ โซลูชั่นส์” ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนเมืองในยุคปัจจุบัน นับตั้งแต่การอยู่อาศัยภายในโครงการของบริษัทที่จะพัฒนาขึ้นมา การเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน หรือ บีทีเอส การใช้บัตรสมาร์ทการ์ดที่เชื่อมโยงกับธุรกิจที่มีอยู่ทั้งหมดภายใต้บัตรใบเดียว เพราะในอนาคตจะมีการพัฒนาและให้บริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟิสเนส ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ โรงแรม สปา เป็นต้น ยังไม่นับกับแนวทางการไปร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย ขณะที่ระบบตั๋วร่วม ด้านการขนส่งมวลชนที่บริษัทได้ไปบันทึกความเข้าใจร่วมกันก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้การใช้ชีวิตของคนเมืองในอนาคต สอดคล้องกับแนวคิด “ซิตี้ โซลูชั่นส์” ดังกล่าวได้อย่างลงตัว
ปั้น “แอบสแตรกต์” ลุยอสังหาฯ
สำหรับธุรกิจอสังหาฯ นั้น นายคีรี ได้ยึดแนวคิดตามบริษัทชั้นนำที่ได้รับสัมปทานให้เดินรถไฟฟ้าระบบขนส่งมวลชนจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศจีน หรือยุโรป ที่มักจะมีที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าอยู่จำนวนมหาศาล และมีการนำที่ดินเหล่านั้นมาเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น ซึ่งคนที่จะมาดูแลในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ ก็เป็นลูกชายคนเดียว นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีเอสฯ
หากประเมินมูลค่าที่ดินของกลุ่มบีทีเอสมีอยู่ในปัจจุบันตามแนวรถไฟฟ้า ก็มีมูลค่ามากกว่า 13,000 ล้านบาท โดยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้บีทีเอสกรุ๊ป ได้สร้างแบรนด์ “แอบสแตรกต์” (Abstracts) ที่มีคำว่า BTS ซ่อนอยู่ในชื่อ เป็นแบรนด์หลักในการพัฒนา ซึ่งเบื้องต้นจะเห็น 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาทออกมาในปีนี้ โครงการแรก เป็น “แอบสแตรกต์ พหลโยธิน พาร์ค” คอนโดมิเนียมสูง 34 ชั้น 3 อาคาร รวม 3,000 ยูนิต แต่จะพัฒนาเฟสแรกก่อน 1,000 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 75,000 บาทต่อตารางเมตร อีกโครงการ คือ แอบสแตรกต์ สุขุมวิท 66/1 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ สูง 5 ชั้น 4 อาคาร รวม 112 ห้อง ราคาขายเฉลี่ย 75,000 บาทต่อรางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปีหน้า
แจกบัตรบีทีเอส10ปี
จุดขายสำคัญของโครงการคอนโดมิเนียมของแบรนด์แอบสแตรกต์ คือ การมีโปรโมชันแถมบัตรรถไฟฟ้าบีทีเอสระยะเวลา 10 ปี ที่ทางผู้บริหารประเมินว่ามีมูลค่าประมาณ 2 แสนบาท โดยผู้ซื้อคอนโดมิเนียมสามารถนำไปขายต่อได้อีกด้วย ขณะที่ทำเลที่ตั้งของคอนโดมิเนียมถูกวางไว้ว่าจะต้องมีระยะห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 250 เมตร พร้อมกันนี้ทางผู้บริหารยังเปิดโอกาสให้กับเจ้าของที่ดินที่มีอยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ที่สามารถเข้าร่วมทุนกับบีทีเอสในการพัฒนาโครงการร่วมกัน หรือจะพัฒนาเองแล้วใช้แบรนด์แอบสแตรกต์ก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขรัศมีของทำเลที่ตั้งต้องไม่เกิน 250 เมตร และต้องใช้แบรนด์ของบริษัทเท่านั้น โดยราคาขายของโครงการที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าจะอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 70,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร
เป้าหมายด้านรายได้ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทางบีที
เอสกรุ๊ป มองว่าน่าจะมีอัตราการเติบโต 30% ภายใน 2 ปี หลังจากบริษัททยอยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากที่ดินที่มีอยู่ ขณะเดียวกันก็มีแผนการเปิดธุรกิจโรงแรมในปีนี้ด้วย อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันรายได้หลักของบีทีเอสกรุ๊ปจะมาจากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ซึ่งรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ คงเริ่มเห็นเข้ามาชัดเจนในอีก 2 ปีข้างหน้า และในอนาคตคงจะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน และสามารถเสริมรายได้ซึ่งกันและกัน
แม้ว่าวันนี้กลุ่มบีทีเอสกรุ๊ป จะได้รับบริการเดินรถเพียง 25.7 กิโลเมตร แต่ในอนาคต นายคีรีก็มีความหวังว่าจะได้มีโอกาสที่จะบริหารการเดินรถเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ พร้อมกับยืนยันถึงความพร้อมที่จะเข้าบริหารหรือลงทุนในทุกรูปแบบกับเส้นทางส่วนต่อขยาย รอเพียงความชัดเจนของทางภาครัฐเท่านั้นว่าจะดำเนินนโยบายเหล่านี้อย่างไร เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทว่าสามารถทำได้ ซึ่งไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น
ฝันไกลของนายคีรียังหวังที่จะเข้าบริหาร หรือลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในต่างประเทศด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ได้มองไว้ในหลายประเทศ ทั้งเวียดนาม อินเดีย มาเก๊า
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,531 16-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษ
25 มิถุนายน-15 กรกฎาคม 2553
ไปดูโครงการที่สถานที่จริงมาแล้ว จนท.ขายโครงการเล่าว่า จะมีBTS ผ่านหน้าโครงการ ชื่อสถานีหอวัง
มีทางเชื่อมจากสถานีมาถึงห้างโลตัสเลย เดินนิดเดียวถึงโครงการ (ไม่รู้จะเชื่อดีหรือปล่าว แต่เจ้าของโครงการคือ BTS นะ) แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างจากรัฐบาล ถ้าชอบเสี่ยงก็ลองดูได้ แต่สวนหน้าโครงการเขาสวยจริงๆ คอนเฟริม
สำนักงานขายโครงการ
โครงการตั้งอยู่หลังโลตัสครับ
ทางเข้าโครงการใช้ทางร่วมกับห้างโลตัส
บรรยากาศภายในโครงการ ร่มรื่นดีครับ
นี่เป็นอาคารตึกที่ขายครับ กำลังตกแต่งกันอยู่
ส่วนตึกที่สองยังไม่ขายครับรอ ตึกแรกขายหมดก่อน
บรรยากาศสวนหน้าโครงการ ส่วน landscape ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว จัดได้สวยงามดี ส่วนบรรยกาศของ Lobby ภายในก็กำลังตกแต่งอยู่ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดีครับ สามารถเยี่ยมชมโครงการได้ที่สถานที่จริงแล้วครับ
บรรยากาศภายใน และสิ่งอำนวยความสะดวก
ผังบริเวณ
แบบห้องพัก
ใบลงทะเบียนข้างในบอกวันและเวลาจองอย่างเป็นทางการ