บีทีเอสประกาศรุกอสังหาฯทุกรูปแบบ/ชูกลยุทธ์ใช้บีทีเอสฟรี10ปี

“คีรี กาญจนพาสน์” ประกาศความพร้อมขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มสูบ ประเดิมผุดคอนโดมิเนียม 2 ทำเล พหลโยธิน/สุขุมวิท กว่า 1 หมื่นล้าน แจ้งเกิดภายใต้แบรนด์ “แอ็บสแตร์กส์”พร้อมระบุเปิดโอกาสทั้งร่วมทุน จ้างพัฒนา ชูกลยุทธ์ตลาดเหนือรายอื่นแจกบัตรรถไฟฟ้าใช้ฟรี 10 ปี

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้าซื้อกิจการของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เสร็จสิ้นและเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้แบ่งโครงสร้างการดำเนินงานออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจดำเนินการระบบขนส่งมวลชน หรือ รถไฟฟ้าบีทีเอสในปัจจุบัน และส่วนต่อขยายในอนาคต กลุ่มธุรกิจให้เช่าพื้นที่โฆษณา (วีจีไอ) กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจให้บริการ อาทิ ธุรกิจบริหารโรงแรม รับเหมาก่อสร้าง และ e-money

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเน้นธุรกิจหลักเป็นระบบขนส่งมวลชนเพราะรายได้หลักของบริษัทคือการให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่จะพัฒนาอสังหาฯ ตามแนวสายทางรถไฟฟ้าด้วยเช่นกัน

“ในประเทศฮ่องกงโครงการที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าถือเป็นสินทรัพย์ที่ดี (Asset) สร้างรายได้ดีกว่าการเดินรถ สำหรับในประเทศไทยหากสามารถพัฒนาไปพร้อมกับแนวเส้นทางของรถไฟฟ้าได้จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ โดยขณะนี้บีทีเอสมีที่ดินมูลค่า 13,000 ล้านบาทแต่อีก 2 ปีรายได้ที่รีเทิรน์กลับมาบนที่ดินดังกล่าวจะมหาศาล” นายคีรีกล่าว

ดังนั้น บริษัทจึงรุกตลาดอสังหาฯ ควบคู่ไปด้วยเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของคนกรุงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ภายใต้แบรนด์ “แอ็บสแตร็กส์” พุ่งเป้าหมายไปที่ผู้บริโภคที่ต้องการพักอาศัยในแนวรถไฟฟ้า และกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจให้เช่า โดยจะเป็นการทั้งลงทุนเอง หรือร่วมทุนกับผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินในแนวรถไฟฟ้าก็ได้ หรือ ผู้ที่ต้องการให้แอ็บสแตร็กส์เข้ามาพัฒนาที่ดินให้ หรือแม้แต่ดีเวลล็อปเปอร์ที่เป็นเจ้าของโครงการอสังหาฯอยู่แล้วก็ตามก็สามารถเข้าร่วมลงทุนกับแอ็บสแตร็กส์ได้ด้วย

picture9

ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้นมีแผนที่จะเปิดตัว 2 โครงการแรก มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ แอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน พาร์ค ที่บริษัทได้ซื้อที่ดินขนาด 21 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่สร้างค้างไว้มาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ บสท. มูลหนี้ที่ซื้อมา 2,000 ล้านบาท จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์น 3 อาคาร สูง 34 ชั้น จำนวนรวม กว่า 3,000 ห้อง ราคา 75,000 บาทต่อตร.ม. ขนาด 25.1-66 ตร.ม. มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จในปี 2554

ส่วน แอ็บสแตร็กส์ สุขุมวิท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 66/1 ใกล้รถไฟฟ้าอุดมสุข เป็นคอนโดฯ สไตล์โมเดิร์น แบบโลว์-ไรซ์ สูง 5 ชั้น 4 อาคาร จำนวนรวม 112 ห้อง ราคาขายอยู่ที่ 75,000 ตร.ม.เช่นเดียวกัน มีขนาด 36.25-61.36 ตร.ม.มูลค่าโครงการ 380 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนมิ.ย.2554

picture10

ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์ตลาดอย่างที่ไม่มีใครเหมือนคือลูกค้าที่ซื้อโครงการแอ็บสแตร็กส์จะสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งบัตรนี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของโครงการแอ็บสแตร็กส์ สามารถขายต่อให้ใครก็ได้ หรือจะโอนสิทธิ์ให้กับผู้เช่าพักอาศัยในกรณีที่ซื้อปล่อยให้เช่า สามารถกำหนดระยะเวลาให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ได้ โดยบัตรมีมูลค่าราวๆ 2 แสนบาท (คิดจากมูลค่าการเดินทาง) นอกจากนั้นบัตรดังกล่าวยังจะใช้เป็นบัตรผ่านสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะพัฒนาขึ้นในอนาคตอีกด้วย

อย่างไรก็ดี เนื่องจากโครงการแอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน โครงสร้างได้ถูกทิ้งร้างมาร่วม 10 ปี บริษัทจึงได้ร่วมกับบริษัทชั้นนำในเครือนิวเวิลด์ฮ่องกง คือ บริษัท ฮิบเฮง คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาและปรับปรุงรวมถึงก่อสร้างด้วย และบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทสปา เอ จำกัด ซึ่งได้รับรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลประเภทรีสอร์ท โรงแรม มาร่วมออกแบบในโครงการที่สุขุมวิท

“เราเชื่อมั่นว่าแบรนด์แอ็บสแตร็กส์ จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับแบรนด์ ยู โฮเทล ที่ปัจจุบันสามารถขยายเครือข่ายได้ถึง 40 แห่งทั่วภูมิภาค”

ที่มา propertychannelnews

วันที่ 13 พฤษภาคม 2559

ความคิดเห็น