"สะดวกสบาย เดินเชื่อมถึงกันได้" เทรนด์ที่เปลี่ยนไปของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนรวย!!

ในทุกวันนี้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่อยู่อาศัย หากสามารถเดินเชื่อมถึงกันได้นั้นจะยิ่งเป็นที่สนใจมากขึ้น ซึ่งทุกวันนี้เริ่มมีอิทธิพลต่อการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วยพลังแห่งการซื้อของคนรวยในยุคปัจจุบัน

จากผลวิจัยของโครงการ Coldwell Banker Global Luxury ที่ทำร่วมกับบริษัทวิจัย WealthEngine พบว่าแต่ก่อนคนรวยส่วนใหญ่นั้นมักจะเห็นความสำคัญของเพื่อนบ้านมากกว่าทำเลที่สะดวกสบาย ดังนั้นเพื่อนบ้านจึงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อบ้านย่านหรู ที่มีเพื่อนบ้านที่เป็นคนรวยเหมือนกันรวมอยู่ในย่านเดียวกัน

แต่ปัจจุบันกลับพบว่าเทรนด์ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อน โดยการหาที่อยู่อาศัยของคนรวยในยุคนี้ จะต้องการหาที่อยู่อาศัยที่อยู่ไม่ไกลจากชีวิตทางสังคม ซึ่งจะดูในเรื่องของความสะดวกสบายเป็นหลัก ใกล้ที่ทำงาน ที่สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้กับอีกสถานที่หนึ่ง หรืออาจจะเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว สามารถเดินทางไปทำงานได้สะดวก

รวมไปถึงการหาที่อยู่อาศัยที่มีวิวสวย ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง ร้านอาหาร  และอีกปัจจัยสำหรับคนที่รักสุขภาพนั้นก็จะมองหาที่ที่ใกล้กับยิม ฟิตเนส เพื่อที่จะได้ไปออกกำลังได้อย่างสะดวก หรือจะไปวิ่งท่ามกลางพื้นที่สีเขียวนั้นที่สวนสาธารณะ ให้ทุกพื้นที่นั้นเชื่อมโยงถึงกัน

ทั้งนี้ทาง Coldwell Banker ยังได้นิยามคำว่าคนรวยไว้ว่า ต้องเป็นคนที่มีทรัพย์สินในครอบครองทั้งหมดมูลค่ามากกว่า 29 ล้านบาทขึ้นไป หรือ 1 ล้านเหรียญสหรัฐนั่นเอง ซึ่งคนมิลเลนเนียลในอเมริกานี้ ถ้าเทียบกับปัจจุบันพวกเขาจะรวยขึ้นถึง 5 เท่าในปี 2030 เพราะได้รับมรดกจากคนรุ่นก่อนหน้านั่นเอง ซึ่งรวมๆ จะมีมากถึง 68 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 พันล้านล้านบาท

นอกจากนี้คนรวยในยุคนี้ 93% จะมีทรัพย์สินในครอบครอง 1 – 2.49 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30 – 75 ล้านบาท ซึ่ง 45% จะเป็นคนที่มีอายุในช่วง 34 – 37 ปี และส่วนใหญ่นั้นเป็นเจ้าของกิจการหรือมีธุรกิจเป็นของตัวเองราว 15%

อย่างไรก็ตามคนรวยในยุคสมัยใหม่นั้นมีมุมมองการเลือกที่อยู่อาศัยที่สามารถเดินเชื่อมต่อพื้นที่อื่นๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ที่ทำงาน ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

ที่มา : Brand Inside , Business Insider

ความคิดเห็น