อนันดา เผยแผนปี 61 เตรียมเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN โชว์ความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจสูงสุด ปี60 มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 6% จากปีก่อน ส่งผลให้รายได้เป็นสถิติสูงสุดกว่า 13,000 ล้านบาท พร้อมยอดขายเติบโตกว่า 34,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน จากการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งทำให้มูลค่าโครงการใหม่สูงสุดเป็นสถิติกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน

 

นอกจากนี้ในปี 2560 บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในประเทศ ด้วยการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 36,600 ล้านบาท พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้ามียอดโอนเพิ่มขึ้น 152% เป็น 38,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี” โดยบริษัทฯ คาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จาก 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ และสามารถสร้างสถิติสูงสุดทั้งการเปิดโครงการใหม่ ยอดขาย และรายได้ โดยมูลค่าโครงการใหม่เป็นสถิติสูงสุดกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน พร้อมมียอดขายที่เป็นสถิติสูงสุดในระดับ 34,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน และรายได้เป็นสถิติสูงสุดในระดับ 12,950 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 6% จากปีก่อน พร้อมทั้งบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อค) กว่า 53,700 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า และเพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปีก่อน

 

ในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และ จากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 36,600 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2560 บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในประเทศ

 

 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในระดับ 1:1″ นายชานนท์ กล่าว

 

ในปี 2560 บริษัทฯได้ร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง เพิ่มเติมอีก 6 โครงการมูลค่ารวมกว่า 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการ ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ โครงการเอลลิโอ เดล เนสต์ โครงการไอดีโอ โมบิ รางน้ำ โครงการเอลลิโอ เดล มอสส์ และโครงการคอนโดมิเนียมใกล้พระราม 9 ซึ่งมีมูลค่าโครงการร่วมทุนรวม 21 โครงการกว่า 95,000 ล้านบาท และ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการร่วมทุนมากที่สุดในประเทศ

 


สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ามียอดโอนเติบโตสูงถึง 152%  เป็น 38,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ


 

บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2561 จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 8 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน 35,100 ล้านบาท จาก 34,900 ล้านบาท ในปี 2560  พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย

 

 

โครงการแรกที่เตรียมเปิดขายในปี 61 คือ  Ideo Sathorn Wongwien Yai  ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท

 

โครงการ UNiO Sukhumvit 72 เฟส 2 ที่คาดว่าจะเปิดขายไตรมาสแรกปี 61 ในราคาเริ่มต้น 999,900 บาท

 

 

บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 114,000 ล้านบาท ในปี 2561 จาก 95,000 ล้านบาท ในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ

 

จากการรักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้ อนันดาฯ ยังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป ปี 2561 เป็นส่วนหนึ่งของ “4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี” โดยบริษัทฯ คาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จากระดับกว่า 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564 ด้วยผลสำเร็จจากเงินลงทุนภายหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ

 

บริษัทฯ มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากการได้รับผลสำรวจจากดัชนีความไว้วางใจในแบรนด์สูงที่สุดสำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในปี 2560 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-Brand Trust Index in the real estate industry) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า พร้อมรับรู้ได้มายังแบรนด์ของบริษัทฯ อีกด้วย

 

ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทเตรียมขออนุมัตินำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการเพิ่มเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 12.75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้านี้ โดยเป็นการเพิ่มเงินปันผลขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท

 



 

 

ความคิดเห็น