'Prop Tech' New Normal ยุค 4.0 เมื่ออสังหาฯ มาผสานกับเทคโนโลยี

โลกในยุคปัจจุบัน กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมยุคดิจิตอลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุค 4.0 ที่เครื่องมือมีความฉลาด สามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลถึงกัน ฉลาดล้ำหน้ามากๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ คลื่น Digital ลูกใหญ่ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจกันถ้วนทั่วทุกแขนง ใครปรับตัวได้ทันก็เดินได้ไว ใครปรับไม่ได้ก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด และแน่นอนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน แม้กระทบแรง แต่ก็ต้องปรับตัวให้ทัน หากนิ่งนอนใจสักวันคงพ่ายแพ้ จึงเกิดเป็นที่มาของการพัฒนา Property Technology หรือเรียกสั้นๆว่า ‘Prop Tech’


 

ช่วงเวลาที่ผ่านมาร่วม 30 ปี วงการอสังหาไทยผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุค ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองสูงสุด จนถึงวิกฤตรุนแรง และฟื้นตัวกลับมาใหม่ ค่อยๆเติบโตไปอย่างมั่นคงและทรงตัว ซึ่งตลอดมานั้นโครงการที่อยู่อาศัยของ Developer ต่างๆ มักจะแข่งขันกันด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ

1. ความน่าเชื่อถือขององค์กร สินทรัพย์ค้ามูลค่าสูง ผู้บริโภคย่อมต้องการความน่าเชื่อถือของ “องค์กร” ในการตัดสินใจ

2. ทำเล ผู้พัฒนาต่างแย่งชิงทำเลทอง ทำเลที่เป็นที่นิยม เพื่อนำมาซึ่งความต้องการในการซื้อที่มาก และผลกำไรที่มาก

3. ราคา โครงการในแต่ละปีมีพัฒนาออกมามากมาย บนทำเลที่หลากหลาย แต่ละเจ้าจึงต้องสร้าง “Brand Portfolio” พร้อมกำหนด “ช่วงราคา” ให้เหมาะสมกับที่ดินทำเลนั้นๆ

ทั้ง 3 ปัจจัย คือ “บรรทัดฐานเดิม” ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังคงมีความสำคัญ และมีผลต่อการแข่งขันทางธุรกิจเหมือนเดิม

 


 

แต่ใน ยุค 4.0 ยุคแห่ง “Digital Disruption” ได้เข้ามาพลิกโฉมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้เกิด “New Normal” หรือ “บรรทัดฐานใหม่” ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ทันในยุค โดยนำ Technology เข้ามาต่อยอดธุรกิจ Property ที่เรียกว่า Property Technology เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปบรรทัดฐานใหม่นี้ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมี สำหรับธุรกิจอสังหาฯ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ยังวนเวียนอยู่ใน Ecosystem ของตัวเอง ไม่ได้ฉีกจนเป็นของใหม่แต่อย่างใด แต่มักเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น เพื่อเข้ามาซัพพอร์ตงานเดิมในแต่ละส่วนให้มีศักยภาพ หรือเสริมสร้างคุณภาพงาน ให้มากขึ้นเท่านั้น

 

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ Property Technology

– ระบบ Internet of Thing (IOT) 

อุปกรณ์อัจฉริยะ เป็นการนำอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายออนไลน์ และเซ็นเซอร์ เข้ามาใช้ในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เพื่อความสะดวกสบายในที่พักอาศัย เช่น ระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติ ระบบสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าจากระยะไกล รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ระบบอุปกรณ์ล็อคประตูอัจฉริยะ การสแกนนิ้ว เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉิน และกล้องวงจรปิดที่สามารถเข้าชมภาพได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งหมดล้วนทำงานจากผ่านระบบแอปพลิเคชั่นออนไลน์ในสมาร์ทโฟน มักเรียกบ้านแบบนี้ว่า “บ้านอัจฉริยะ” หรือ ‘Smart Home’

 

 การใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกในเรื่องการซื้อขาย 

โลกออนไลน์สามารถช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูล และติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น ตั้งแต่การเข้าดูโครงการ ดูผัง ดูรูป การใช้ drone ถ่ายภาพโครงการหรือถ่ายภาพมุมสูงเพื่อให้ลูกค้าเห็นก่อนว่าอาคารชุดระดับความสูงแต่ละชั้น การสร้างภาพจำลองเสมือนจริงของโครงการ หรือ จำลองห้องตัวอย่าง เพื่อให้ลูกค้ารับชมผ่านอุปกรณ์ Virtual Reality (VR) สามารถจองยูนิตและโครงการที่ต้องการได้ผ่านทางระบบออนไลน์ ไปจนถึงการดำเนินงานด้านสินเชื่อและทำธุรกรรม ‘Online Payment’ สะดวก ง่าย ตัดสินใจเลือก และทำธุระได้ครบกระบวนการโดยไม่จำเป็นต้องไปสำนักงานขายจริงเลย

 

– เทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องบริการหลังการขาย

หลายครั้งผู้ซื้ออาจประสบปัญหาหลังการขาย โครงการอสังหาริมทรัพย์จึงนำ ‘Prop Tech’ ไปปรับใช้ เป็นแอปพลิเคชันต่างๆ ที่จะช่วยให้การสื่อสารระหว่างลูกบ้านและนิติบุคคลมีความสะดวกขึ้น สามารถเก็บข้อมูลการใช้งานหรือปัญหาของลูกค้า แจ้งข้อมูลข่าวสารภายในโครงการ ไปจนถึงการใช้งานบริการต่างๆ เช่น จองพื้นที่ส่วนกลาง เรียกช่างซ่อม เรียกแม่บ้าน แจ้งชำระเงินส่วนกลาง ฯลฯ ตลอดจนการฝากขายหรือเช่า ซึ่งจะช่วยให้ดำเนินการเรื่องต่างๆสะดวกมากขึ้น จึงเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้อยู่อาศัยและผู้พัฒนา

 

– สิ่งอำนวยความสะดวกในรูปแบบ Sharing Economy 

เป็นบริการเสริมในโครงการ ที่นำพื่นที่ หรืออุปกรณ์ที่เป็นส่วนกลาง มาใช้งานร่วมกัน โดยอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับผูู้ใช้งาน โดยจะไม่ใช่ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ธรรมดา แต่โครงการยุคใหม่ sharing economy จะเป็นพวก รถยนต์ไฟฟ้า ที่สมาชิกสามารถจองรถเพื่อใช้งานในระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก หรือเป็น co-working space เล็กๆให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเช่าพื้นที่ใช้งานได้ ที่สำคัญคือการบริการทุกอย่างจะเป็นการจองใช้งานผ่านระบบแอปพลิเคชั่น

 

– เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับงานเบื้องหลังโครงการ

ในระบบหลังบ้านโดยเฉพาะในกลุ่มผู้พัฒนาอาคารชุดปัจจุบันนิยมนำระบบ Building information modeling (BIM) เข้ามาใช้เพื่อจำลองรูปแบบอาคารก่อนก่อสร้างให้เป็น 3 มิติ จะได้เห็นการซ้อนทับกันของโครงสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค เพื่อจะได้ทำการปรับรูปแบบก่อนดำเนินการก่อสร้างไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างการก่อสร้างจริง

Smart Material วัสดุสมัยใหม่ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอาคาร และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้าน เช่น แผ่นกระจกที่ใช้กั้นห้องแบบที่สามารถปรับให้ทึบหรือโปร่งแสงได้ด้วยการเปิด-ปิดสวิตซ์ไฟฟ้า วัสดุเคลือบผนังอาคารภายนอก ที่สามารถเปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานเพื่อใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้ รวมถึงเทคนิคการก่อสร้างแบบใหม่ๆ เช่นการใช้ 3D printer สามารถพิมพ์ชิ้นส่วนของบ้าน หรือบ้านทั้งหลังได้

 

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมีความเคยชินในเทคโนโลยี  จนเกิด ความเคยชินใหม่(New Normal) ที่เราจะพบการนำเทคโนโลยี  Digital มาใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนกลายเป็นเรื่องปกติ …เช่น เราจะได้เห็น Robot พาชมโครงการ หรือ อยากจะดูห้องตัวอย่างได้ทุกเมื่อ แบบ VR ที่ไหนก็ได้ในโลก เพียงแค่มีแว่น3มิติ  ทำการซื้อ-ขายออนไลน์ได้ทันที รวมทั้งการสอบถามข้อมูลต่างๆผ่าน AI Chatbot หรือ อาจมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจนี้ไปสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น

 

ที่มา: brandage.com ,  marketeeronlinebrandbuffet



 

 

ความคิดเห็น