เปิดโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์  และพลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย พร้อมรับรู้รายได้เต็มปี 6 ล้านเหรียญสหรัฐจากโครงการกัมพูชาปี 2566 เป็นต้นไป

เปิดโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์  และพลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย พร้อมรับรู้รายได้เต็มปี 6 ล้านเหรียญสหรัฐจากโครงการกัมพูชาปี 2566 เป็นต้นไป

บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME บริษัทชั้นนำในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาด โดยนายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนว่า PRIME มั่นใจในการบรรลุเป้าหมายในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2567 PRIME จะมีการลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย ไม่น้อยกว่า 800 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตเติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้นายสมประสงค์ยังคงยืนยันเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้าว่า 1,800 เมกะวัตต์ หรือการเติบโตราว 6 เท่า จากกำลังการผลิตปัจจุบัน สามารถทำได้สำเร็จแน่นอน โดยแต่ละปีคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 200 – 400 เมกะวัตต์

นายสมประสงค์กล่าวต่อไปว่า PRIME ได้เปิดธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจที่ปรึกษาและบริหารจัดการด้านการประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยีแบบครบวงจร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ PRIME ร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น และมีมาตรฐานตามเกณฑ์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ ทั้งนี้ PRIME มีแผนจะขยายผลไปยังโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป โครงการนี้จะมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งช่วยสนับสนุนเป้าหมายของ PRIME และประเทศไทยในการจัดการเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ในปี 2608 อีกด้วย นอกจากนี้ในปี 2566 PRIME ตั้งเป้าหมายในการเข้าเป็นสมาชิกของ Thailand Sustainability Investment (THSI) หรือ รายชื่อหุ้นยั่งยืนโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) โดย บริษัทที่ได้รับคัดเลือกต้องมีผลคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนอย่างน้อยร้อยละ 50

จากนั้น นายพิรุณ ชินวัตร กรรมการบริหาร ได้รายงานผลประกอบการของ PRIME สำหรับงวด 9 เดือน (สิ้นสุด 30 กันยายน 2565) ว่า มีรายได้รวมอยู่ที่ 648 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 110 ล้านบาท ซึ่งจากการที่ธุรกิจหลักของ PRIME มีลักษณะเป็นการรับรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาระยะยาว ทำให้รายได้จากการขายไฟฟ้าของ PRIME ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมา แต่สำหรับรายได้รวมงวด 9 เดือน ที่ลดลง 57 ล้านบาท จาก 705 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่น 1 แห่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ทำให้ไม่มีรายได้จากโครงการดังกล่าวในปีนี้ อย่างไรก็ดี ในเดือนธันวาคม 2565 PRIME จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งชาติกัมพูชา (National Solar Park) ที่มีธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เป็นที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งมีกำลังผลิตตามสัญญา 60 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตติดตั้ง 77 เมกะวัตต์ ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป PRIME จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2565 ราวร้อยละ 40 และเริ่มรับรู้รายได้ตามสัญญาปีละ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ เต็มปีตั้งแต่ 2566 เป็นต้นไป

ความคิดเห็น